tag:blogger.com,1999:blog-22946813373655258912024-03-05T02:46:38.208-08:00ของดี-ศรีสะเกษของดี-ศรีสะเกษhttp://www.blogger.com/profile/12737712840741247827noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-2294681337365525891.post-25681796441035233482012-09-24T02:34:00.002-07:002012-09-24T02:34:08.672-07:00<br />
<div style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18px;">
<span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><strong>น้ำทับทิมทำหน้าเต่งตึง-ประโยชน์เพียบ<br /><br /><span style="color: red;"></span></strong></span></span></div>
<div style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18px;">
<span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><strong><span style="color: red;">มหัศจรรย์แห่งทับทิม ประโยชน์มากมาย</span></strong><br /><img align="right" height="351" src="http://images.thaiza.com/26/26_20090918110313..jpg" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="263" /><br />ทับทิม มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Punica granatum L.<br />วงศ์ Punicaceae ภาษาอังกฤษเรียก Pomegranate<br /><br />ชาวเชียงใหม่และภาคเหนือทั่วไปเรียก มะก้อ ชาวน่านเรียก มะก่องแก้ว ชาวแม่ฮ่องสอนเรียก หมากจัง ชาวหนองคาย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เรียก พิลา ชาวจีนเรียก เซี๊ยะลิ้ว ชาวสเปนเรียก Granada ส่วนชาวอินเดียเรียก Darim<br /><br />ทับทิมเป็นไม้พุ่ม ขนาดกลาง สูงประมาณ 4-6 เมตร ทรงพุ่มโปร่ง มีหนามแหลมตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยวขนาดเล็ก รูปใบยาวปลายแหลม ยาว 3-4 เซนติเมตร ดอกสีแดงหรือสีขาว<br /><br />ผลค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร เมื่อแก่จัดเปลือกผลสีเหลืองอมแดงหรือน้ำตาลอมส้ม ผิวมักแตกออกเห็นเมล็ดใสอยู่ภายในมากมาย เมล็ดมีเนื้อใสสีแดงหรือสีชมพูหุ้มอยู่แยกแต่ละเมล็ด เนื้อทับทิมมีน้ำมาก รสหวานหรือเปรี้ยวอมหวาน<br /><br />ส่วนที่เรียกทับทิมหนูเป็นทับทิมเช่นกันแต่ต่างสายพันธุ์ สูงเต็มที่ไม่เกิน 120 เซนติเมตร มีดอกสีแดงตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ<br /><br />ทับทิม มีถิ่นกำเนิดบริเวณรอยต่อของเอเชียตะวันตกกับตอนบนของเอเชียใต้ คือบริเวณตะวันออกของประเทศอิหร่าน ทางตอนใต้ของอัฟกานิสถานและทางตอนเหนือของเทือกเขาหิมาลัย ทับทิมคงเป็นพืชที่ได้รับความนิยมมากว่าพันปีแล้ว จึงมีการปลูกแพร่กระจายออกไปทั้งในเขตร้อน (tropical) และกึ่งร้อน (Sub-tropical) ของทวีปเอเชีย ยุโรป รวมทั้งในทวีปแอฟริกาด้วย<br /><br />ทับทิม มีบทบาทอย่างมากในตำนานต่างๆ ของหลายประเทศ เป็นสัญลักษณ์ของการเกิด ความสามารถในการเจริญพันธุ์ ชีวิตชั่วนิรันดร์ และความตาย เพราะทับทิมมีเมล็ดมากมาย<br /><br /><strong> ชาวกรีก</strong>ใช้ทับทิมในงานแต่งงานเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงเผ่าพันธุ์<br /><strong> ชาวยิว</strong>ถือว่าทับทิมเป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์<br /><strong> ชาวฮินดู</strong>เชื่อ ว่า ทับทิมเป็นผลไม้โปรดของพระพิฆเณศจึงนิยมนำผลทับทิมไปถวาย และใช้ดอกทับทิม บวงสรวงบูชาพระอาทิตย์ พระนารายณ์ และเทวีลักษมี อีกด้วย<br /><strong> ชาวจีน</strong> ถือว่าต้นทับทิมเป็นไม้มงคลโดยเฉพาะทับทิมชนิดดอกสีขาวและเป็นสัญลักษณ์แห่ง ความอุดมสมบูรณ์ ความมีลูกหลานมากมายเนื่องจากผลทับทิมมีเมล็ดมาก กิ่งใบทับทิมเป็นไม้มงคลที่ใช้ทุกงาน มีการปักยอดทับทิมไว้ที่สิ่งของเซ่นไหว้เจ้า ใช้พรมน้ำมนต์และมีไว้ติดตัวเพื่อคุ้มครองกันภัย<br /><br />ทับทิมมีเมล็ดมาก จึงสื่อนัยถึงการมีบุตรชายหลายคน ในพิธีแต่งงานชาวจีนจะปักยอดทับทิมไว้ที่ผมเจ้าสาว และให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาว<br /><br />นอกจากนี้ชาวจีนยังมีความเชื่อว่า ใบหรือกิ่งทับทิมมีอำนาจไล่ภูตผีปีศาจได้ จึงนิยมปลูกทับทิมไว้บริเวณบ้าน และใช้ใบทับทิมแช่น้ำล้างหน้า ล้างมือ หลังกลับจากงานศพเพื่อมิให้วิญญาณติดตามเข้ามาในบ้าน<br /><br />ส่วนชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เด็กที่กินผลทับทิมจะปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งปวง<br /><br />ทับทิม ชอบอากาศหนาว ถ้าอยู่ในที่อากาศหนาวเนื้อทับทิมจะมีสีแดงเข้มมากขึ้น คงจะตอบคำถามของผู้อ่านได้แล้วว่าทำไมทับทิมจากประเทศจีนจึงมีเมล็ด สีแดงสวยงาม<br /><br /><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> ประโยชน์ </span></strong><br /><br /> เมล็ดทับทิมเป็นผลไม้มีรส หวานหรือเปรี้ยวอมหวาน น้ำคั้นจากเมล็ดทับทิมมีกลิ่นหอมชวนดื่ม ประกอบด้วยน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ <strong><span style="color: #993300;">รวมถึงวิตามินเอ ซี อี ธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม</span></strong> ซึ่งเป็นธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ<br /><br /> ทับทิมถูกใช้เป็นยาพื้นบ้านของชาวอิหร่านและอินเดียมาแต่โบราณ น้ำต้มเปลือกทับทิมใช้แก้เจ็บคอ ยาพอกจากใบใช้พอกหนังศีรษะลดอาการผมร่วง น้ำคั้นเมล็ดทับทิมใช้ลดความร้อนในร่างกาย เชื่อว่าช่วยล้างระบบต่างๆ ของร่างกายและเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์อีกด้วย<br /><br /> ชาวอาหรับใช้เปลือกรากทับทิมสดๆ ต้มน้ำ ดื่มถ่ายพยาธิตัวตืด เปลือกจากลำต้นทับทิม ต้มน้ำใช้ถ่ายพยาธิชนิดต่างๆ ร่วมกับยาถ่าย ใช้เปลือกผลทับทิมผสมกานพลูและฝิ่นรักษาโรคบิดและท้องร่วงอย่างแรง<br /><br /> ชาวอินเดียใช้น้ำคั้นจากผลทับทิมและดอกทับทิม ปรุงยาธาตุ ใช้สมานลำไส้ และแก้ท้องเสีย เมล็ดทับทิมใช้บำรุงหัวใจ<br /><br /> ประเทศไทย แพทย์แผนโบราณใช้ทับทิมทั้งต้นหรือที่เรียกทับทิมทั้งห้าเป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด<br /><br /> <strong> </strong></span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: green;"><strong>เปลือก ราก และเปลือกต้น</strong>มีฤทธิ์ฝาดสมาน ใช้ถ่ายพยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือน พยาธิเส้นด้าย<br /><br /> <strong> ใบ</strong> ใช้ สมานแผล แก้ท้องร่วง น้ำต้มใบใช้อมกลั้วคอ ทำยาล้างตา<br /><br /><strong> ดอก </strong>ใช้ห้ามเลือด<br /><br /> <strong>เปลือกผล</strong>ใช้สมานแผล แก้บิด แก้ท้องร่วง<br /><br /> <strong>ส่วนเนื้อหุ้มเมล็ด</strong> มีวิตามินซีสูงแก้โรคลักปิดลักเปิด และใช้แก้กระหายน้ำ</span><br /> สังเกตได้ว่าชาวไทยใช้ประโยชน์จากทับทิมด้านสมุนไพรมากกว่าชาติอื่นๆ<br /><br /> ประโยชน์ทางเภสัชวิทยาที่ค้นพบในปัจจุบัน<br /><br /> ระยะนี้น้ำทับทิมได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณค่าอย่างสูงต่อการดูแลสุขภาพ <strong><span style="color: #993300;">น้ำทับทิม 1 แก้วมีวิตามินซีร้อยละ 40 ของความต้องการของผู้ใหญ่ใน 1 วัน และมีวิตามินเอ อี และกรดโฟลิกปริมาณสูง</span></strong> น้ำทับทิมที่ผลิตในเชิงธุรกิจจะรวมน้ำคั้นเปลือกผลไว้ด้วย<br /><br /> ชาวบาบิโลเนียในอดีตเชื่อว่าทับทิมเป็นผลไม้ที่ช่วยให้สามารถฟื้นคืนกำลัง ปัจจุบันงานวิจัยมากมายได้สนับสนุนความเชื่อโบราณนี้<br /><br /> </span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">การดื่มน้ำคั้นจากทับทิมวันละแก้ว จะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งของหลอดเลือดแดง และมีสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น และมีผลดีอื่นๆ ต่อสุขภาพ<br /></span><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าสารต้านอนุมูลอิสระ </span></strong><br /><br /> น้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีมาก เกิดจากจากสารกลุ่มโพลีฟีนอลและแอนโทไซยานินปริมาณสูงที่พบในน้ำทับทิม ปริมาณเท่ากัน</span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;"><strong>น้ำทับทิมมีฤทธิ์ต้านต้านอนุมูลอิสระเป็น 3 เท่าของไวน์แดงและชาเขียว และสูงกว่าน้ำบลูเบอร์รี น้ำแครนเบอร์รี น้ำองุ่นสีม่วง และน้ำผลไม้ชนิดอื่น</strong></span><br /> จากการศึกษาวิจัยพบว่าเปลือก ทับทิมมีสารกลุ่มแทนนินสูงถึงร้อยละ 22-25 โดยประกอบด้วยสารกลุ่มแกลโลแทนนิน (gallotannin) และเอลลาจิแทนนิน (ellagitannin) ปริมาณสูง เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ สารกลุ่มเอลลาจิแทนนิน มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี<br /><br /> </span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: green;">คุณค่าต่อระบบไหลเวียนเลือด ลดความดันเลือด ป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหลอดเลือดอุดตัน</span><br /> ป็นที่ทราบกันดีว่าสารโพลีฟีนอลมีความสามารถยับยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ของไขมันไม่ดี หรือแอลดีแอล-คอเลสเตอรอล (LDL-C, low densitylipoprotein cholesterol) ลดการสร้างโฟมเซลล์ และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด<br /><br /> กลุ่มวิจัยไลพิดของอิสราเอลทำงานวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของน้ำทับทิมที่มีผลต่อโรค หลอดเลือดแข็งตัว พบว่าสารโพลีฟีนอลจากน้ำทับทิมป้องกันไขมันไม่ดีจากปฏิกิริยาต้านอนุมูล อิสระของเซลล์ได้ 2 วิธี คือ โพลีฟีนอลจากทับทิมเข้าทำปฏิกิริยากับไลพิดโปรตีนโดยตรง<br /><br /> อีกวิธี คือโดยการสะสมของโพลีฟีนอลในมาโครฟาจ ของหลอดเลือด พบว่าโพลีฟีนอลจากทับทิมลดความสามารถของมาโครฟาจในการออกซิไดซ์ไขมันไม่ดี โดยทำปฏิกิริยากับโมเลกุลไขมันไม่ดี เพื่อหยุดยั้งปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว และยังสะสมในมาโครฟาจในหลอดเลือด ทำให้หยุดยั้งปฏิกิริยาไลพิดเพอร์ออกซิเดชั่น และการสร้างมาโครฟาจที่อุดมไปด้วยไลพิดเพอร์ออกไซด์<br /><br /> นอกจากนี้ สารโพลีฟีนอลในน้ำทับทิมยังเพิ่มการทำงานของเอนไซม์พาราออกโซเนสในพลาสม่า ป้องกันไม่ให้ไขมันไม่ดีถูกออกซิไดซ์ ทำให้เกิดการแตกตัวของไลพิดเพอร์ออกไซด์ในไลโพโปรตีนที่ถูกออกซิไดซ์ไปแล้ว และในรอยเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด เมื่อหนูที่มีไขมันเกาะผนังหลอดเลือดได้รับสารจากน้ำทับทิม พบว่าเกิดการหยุดสร้างรอยแผลจากการเกาะของไขมันขึ้นใหม่อีกด้วย<br /><br /> <span style="color: green;">การศึกษาทางคลินิกพบว่าน้ำทับทิมมีผลดีต่อการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ น้ำทับทิมลดความข้นของเลือดจากภาวะไขมันสูง</span> งานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวว่าน้ำทับทิมเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้เลือดสูบฉีดไป ยังหัวใจได้ดีขึ้น โดยลดความหนาของผนังหลอดเลือดคาโรติด ช่วยการทำงานของไนตริกออกไซด์ทำให้กล้ามเนื้อเรียบผ่อนคลาย ลดภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือดจากไขมันในเลือดสูง ลดความดันเลือดหยุดการสะสมไขมันและสลายไขมันสะสมที่หลอดเลือดด้วย<br /><br /> อนุมูลอิสระเป็นตัวทำให้คอเลสเตอรอลมีการเปลี่ยนแปลงโดยปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคอเลสเตอรอลที่เปลี่ยนแปลงนั้นจะไปเร่งการแข็งตัวของหลอดเลือด น้ำทับทิมช่วยลดปฏิกิริยาต้านอนุมูลอิสระลงได้ครึ่งหนึ่ง สามารถลดปริมาณไขมันไม่ดีหรือคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีที่ทำให้เกิดหลอดเลือดอุด ตันซึ่งนำไปสู่อาการโรคหัวใจ </span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: green;">นอกจากนี้น้ำทับทิมยังลดปริมาณพลัค (plaque) ในหลอดเลือดแดงใหญ่ และเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลดีอีกด้วย</span><br /> เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้วิจัยทำการทดลองในหนู พบว่าน้ำทับทิมลดการสะสมของไขมันบนผนังหลอดเลือด และหยุดการแข็งตัวของหลอดเลือดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ และเชื่อว่าน้ำทับทิมประมาณ 1 แก้วจะช่วยชะลอการแข็งตัวของหลอดเลือดในผู้ป่วยระยะต้นได้<br /><br /> แพทย์ที่สหรัฐอเมริกาเห็นด้วยว่าน้ำทับทิมสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของการกินอาหาร เพื่อสุขภาพและการออกกำลัง แต่น้ำทับทิมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันหรือรักษาโรคหัวใจได้<br /><br /><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าด้านป้องกันและรักษามะเร็ง </span></strong><br /><br /> น้ำทับทิมมีผลลดการเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง งานวิจัยพบว่าน้ำ</span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #993300;">ทับทิมสดและน้ำทับทิมที่ผ่านการหมักมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ เติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมและมะเร็งผิวหนัง เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมจำนวนหนึ่งมี ฤทธิ์เป็นเอสโทรเจนจากพืช</span><br /> สารกลุ่มเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมี ฤทธิ์ต่อต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกว่า 13 ชนิด ได้แก่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น<br /><br /> เอลลาจิแทนนินเป็นสารโพลีฟีนอลสำคัญที่พบอยู่ในน้ำทับทิมปริมาณมาก เมื่อผ่านเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกรดเอลลาจิกซึ่งจะถูกแบคทีเรีย ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนเป็นอนุพันธ์ของสารยูโรลิทินเอ (urolithin A derivative) ต่อไป<br /><br /> ในสัตว์ทดลองพบว่าหนูทดลองที่ได้รับสารสกัดเข้มข้นของน้ำทับทิมมีการสะสมสารยูโรลิทินเอมากในอัณฑะ ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก<br /><br /> งานวิจัยเดียวกันในห้องทดลองพบว่ากรดเอลลาจิก และยูโรลิทินเอ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอัณฑะมนุษย์ คณะผู้วิจัยคิดว่าน้ำทับทิมมีฤทธิ์ป้องกัน การเกิดมะเร็งอัณฑะด้วย<br /><br /> นอกจากนี้ <span style="color: #993300;">สารดังกล่าวมีคุณสมบัติทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหารและลำไส้ใหญ่</span> พบว่าเมื่อให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลองที่ทำให้เกิดมะเร็ง สารดังกล่าวจะทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้<br /><br /><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าป้องกันตับ </span></strong><br /><br /> รายงานการทดลองเพิ่มเติมพบว่าเมื่อให้สารจากทับทิมกับหนูทดลอง ก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเตตราคลอไรด์เพื่อทำให้เกิดพิษต่อตับ พบว่าหนูที่ได้รับสารจากทับทิมมีฤทธิ์ป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้จริง<br /><br /><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าลดอาการอักเสบ </span></strong><br /><br /> เป็นที่ทราบกันว่าเอลลาจิแทนนินจากเปลือกผลทับทิมมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ แพทย์ทางเลือกที่สหรัฐอเมริกามีการใช้สารสกัดน้ำทับทิมรักษาโรคที่เกิดจาก การอักเสบ เช่น โรคข้อรูมาตอยด์แล้ว<br /><br /> การทดลองในกระต่ายที่มลรัฐ โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ.2551 พบว่า เมื่อให้น้ำสารสกัดทับทิมกับกระต่าย ทำให้พลาสม่าจากกระต่ายหลังได้รับสารสกัดน้ำทับทิม มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าพลาสม่าที่ตรวจวัดก่อนได้รับสารสกัดดัง กล่าวอย่างมีนัยสำคัญ<br /><br /> การทดลองต่อมาพบว่า สารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของโปรตีนที่เป็นสาเหตุของการอักเสบอย่างมีนัย สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอนไซม์ไซโคลออกซีไฮดรอจิเนส-2 และพบว่าพลาสม่าของกระต่ายที่ได้รับสารสกัดน้ำทับทิมลดการทำงานของเอนไซม์ไซ โคลออกซีไฮดรอจิเนส-1 และ 2 ในหลอดทดลองได้ และสารสกัดจากน้ำทับทิมยังลดการสร้างสารก่อให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory compounds) โดยเซลล์จากกระดูกอ่อนด้วย งานวิจัยดังกล่าวจึงให้ข้อมูลสนับสนุนการใช้น้ำทับทิมในการรักษาโรคจากการ อักเสบข้างต้นเป็นอย่างดี<br /><br /><strong><span style="background-color: #ffff99; color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าป้องกันโรคกระดูกพรุน </span></strong><br /><br /> พบน้ำทับทิมมีผลหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำลายกระดูกอ่อนในห้องทดลอง จึงต้องรอให้มีการศึกษาผลของการบริโภคน้ำทับทิมว่ามีผลทำให้อัตราการเสื่อม ของกระดูกอ่อนลดลงหรือไม่<br /></span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><strong><span style="background-color: #ffff99;"><span style="color: blue;"> <img height="41" src="http://images.thaiza.com/45/45_200808131506572..gif" style="cursor: pointer; max-width: 875px;" width="51" /> คุณค่าอื่นๆ </span></span></strong><br /> </span></span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span style="font-size: small;"><span style="color: green;">น้ำทับทิมมีคุณสมบัติทำให้ผิวหน้าเต่งตึงได้ ใช้น้ำทับทิมประมาณ 1 ช้อนชาทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น นอกจากนี้การดื่มน้ำทับทิมยังช่วยให้ผิวสวยจากภายใน โดยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระจะป้องกันผิวจากการทำลายของรังสีอัลตราไวโอเลต อีกทั้งเสริมสุขภาพโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นนอกด้วย</span><br /> เชื่อกันว่าน้ำทับทิมบรรเทาอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์ ปรับฮอร์โมนวัยหมดประจำเดือน เสริมสุขภาพทางเพศให้ท่านชาย ช่วยบำบัดโรคเบาหวาน และป้องกันโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุ ถ้ามีข้อมูลด้านงานวิจัยสนับสนุนความเชื่อเหล่านี้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป<br /></span></span><strong><span style="color: red;"><br /><br /><span style="font-family: courier new,courier,monospace; font-size: small;"> ดื่มน้ำทับทิมวันละผลไม่ต้องไปหาหมอ (คั้นสดวันละ 50-100 มิลลิลิตร หรือน้ำทับทิมเข้มข้นวันละ 1 ช้อนโต๊ะ)</span></span></strong><br /><br /><br /><br /><br /><span style="font-family: courier new,courier,monospace; font-size: small;">ที่มา ... หมอชาวบ้าน</span></div>
<br class="Apple-interchange-newline" />ของดี-ศรีสะเกษhttp://www.blogger.com/profile/12737712840741247827noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-2294681337365525891.post-13725003816176459922012-09-24T02:06:00.002-07:002012-09-24T02:26:23.573-07:00<img alt="[ภระเทียม.jpg]" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje1wr-xUtIZ-Vk7zY8qwPuOVdmG_9y8Fn3y8q3Pioh42rMaA215frHx6HNm1GYWU5TjlpaLTQeRLxCp5wi0HONWBP0psQp5dvczkv5Cz7qc6Z2i1yUBzEN44h4q_goNrVq8LDmyyzwJvrO/s1600/%C3%A0%C2%B8%C2%81%C3%A0%C2%B8%C2%A3%C3%A0%C2%B8%C2%B0%C3%A0%C2%B9%E2%82%AC%C3%A0%C2%B8%E2%80%94%C3%A0%C2%B8%C2%B5%C3%A0%C2%B8%C2%A2%C3%A0%C2%B8%C2%A1.jpg" />
<br />
<br />
<br />
<br />
<h1 style="background-color: white; color: #444444; font-family: Tahoma; font-size: 20px; margin: 0px 140px 0px 20px; padding: 0px;">
3 คุณประโยชน์ของกระเทียมที่คุณอาจไม่เคยรู้</h1>
<h3 style="background-color: white; border-top-color: rgb(223, 223, 223); border-top-style: solid; border-top-width: 1px; color: #b0b0b0; font-family: Tahoma; font-size: 12px; font-weight: normal; margin: 5px 140px 0px 20px; padding: 5px 0px 0px;">
3 คุณประโยชน์ของกระเทียมที่คุณอาจไม่เคยรู้</h3>
<div class="share" style="background-color: white; font-family: Tahoma; font-size: 13px; height: 65px; position: absolute; right: 0px; top: 0px; width: 130px;">
<div class="fb-like" data-font="tahoma" data-href="http://men.kapook.com/view40260.html" data-layout="box_count" data-send="false" data-show-faces="false" data-width="50">
</div>
<a class="twitter-share-button" data-count="vertical" data-via="kapookdotcom" href="http://twitter.com/share" style="margin: 0px 3px; text-decoration: none;">Tweet</a></div>
<div class="content" style="background-color: white; font-family: Tahoma; font-size: 16px; margin-top: 30px; padding: 0px 20px;">
<div id="w">
<div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/u/suttichai/health%20man/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1.jpg" /></div>
<br /><a href="http://kapook.com/" style="text-decoration: none;" target="_blank">เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม</a><br /><br /> <span style="font-weight: bold;">"กระเทียม"</span> เป็นพืชสมุนไพรและเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยหรืออาหารฝรั่ง ส่วนใหญ่แล้วก็มักมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบของอาหารทั้งนั้น ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยขึ้นแล้ว ยังมีคุณค่าต่อร่างกายอีกมาก วันนี้<a href="http://kapook.com/" style="text-decoration: none;" target="_blank">กระปุกดอทคอม</a>ก็ขอมาเผยประโยชน์ของกระเทียมให้ได้ทราบกัน<br /><br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/melody_chan_20050404131622.gif" /> <span style="background-color: #d6f3ff; font-weight: bold;">1. มีสารที่ช่วยต้านมะเร็งได้</span><br /><br /> ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเครื่องเทศกลิ่นแรงนี้ นอกจากจะช่วยลดระดับไขมัน, คอลเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดได้แล้ว ทั้งนี้กำมะถันที่ผสมอยู่ในกระเทียม ยังสามารถยับยั้งการเกิดของสารก่อมะเร็งที่ชื่อ<span style="font-weight: bold;"> ไนโตรซามีน (Nitrosamine) </span>ในร่างกาย ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนั้น<span style="font-weight: bold;">ซีลีเนียม (Selenium)</span> ที่พบในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และลดอันตรายจากการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเซลล์มะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย<br /><br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/melody_chan_20050404131622.gif" /> <span style="background-color: #d6f3ff; font-weight: bold;">2. สามารถป้องกันโรคหัวใจ</span><br style="font-weight: bold;" /><br /> สรรพคุณอันน่าทึ่งของกระเทียม นอกจากช่วยต้านโรคมะเร็งได้แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคหัวใจที่หลาย ๆ คนต่างหวาดกลัวได้เป็นอย่างดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต, การอุดตันของเส้นเลือด, ลดการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน และกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน<br /><br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/melody_chan_20050404131622.gif" /> <span style="background-color: #d6f3ff; font-weight: bold;">3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย</span><br /><br /> ประโยชน์ของกระเทียมไม่ได้มีแค่ยับยั้งและป้องกันโรคต่าง ๆ ได้เท่านั้น กระเทียมยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้แล้วพบว่ากระเทียมมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค, เชื้อไวรัส, เชื้อรา รวมทั้งบรรเทาและลดอาการภูมิแพ้ได้เป็นอย่างมาก<br /><br /> <span style="color: #5c0000; font-weight: bold;">คราวนี้เมื่อเพื่อน ๆ ได้ทราบถึงสรรพคุณของกระเทียมไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่าคงเปลี่ยนใจให้คนที่ไม่ชอบทานกระเทียม หันมาบริโภคเครื่องเทศที่อุดมไปด้วยประโยชน์ชนิดนี้กันมากขึ้นนะครับ</span></div>
<div id="w">
<span style="color: #5c0000; font-weight: bold;"><br /></span></div>
<div id="w">
<span style="color: #5c0000; font-weight: bold;"> เนื่องจากระเทียม มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ รสชาด อาจไม่ถูกใจเพื่อนๆ หลายๆคน อาจหันไปรับประทานกระเทียมสกัดจาก ผลิตภัณฑ์ดีๆตามท้องตลาด หรือ </span><a href="http://www.giffarinethailand.com/event/product_detail.php?cateid=62&cat=6,62,&id=17807">http://www.giffarinethailand.com/event/product_detail.php?cateid=62&cat=6,62,&id=17807</a> ติดต่อตัวแทนที่ท่านชื่นชอบได้</div>
<div id="w">
<span style="color: #5c0000; font-weight: bold;"><br /></span></div>
</div>
ของดี-ศรีสะเกษhttp://www.blogger.com/profile/12737712840741247827noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2294681337365525891.post-56782135952519329702012-09-24T01:18:00.000-07:002012-09-24T01:18:09.592-07:00ของดี-ศรีสะเกษ<img src="https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSn9fV5omaf-L3P9y0eFD5nDjlR5gCryxMHblbCCxqye-Q677RemQ" /><div>
<span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18px;">ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : </span><i style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18px;">Allium ascalonicum Linn</i><span style="background-color: white; color: #666666; font-family: Tahoma, 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif', sans-serif; font-size: 14px; line-height: 18px;"> วงศ์ : LILIACEAE ลักษณะ : พืชที่มีลำต้นสั้นและฝังอยู่ใต้ดิน ขนาดสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กาบใบพองออกเพื่อสะสมอาหาร ลักษณะเป็นช่อคล้ายร่ม ประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกสีขาวอมม่วงมีกลีบดอก 6 กลีบ แหล่งที่พบ : เป็นพืชจำพวกผักเพื่อเก็บหัว ออกดอกในช่วง ฤดูหนาว ปลูกกันมากทางภาคเหนือ สรรพคุณ : หัวหอม มีรสฉุน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ช่วยย่อยและเจริญอาหาร แก้บวมน้ำ แก้อาการอักเสบต่าง ๆ ขับพยาธิ ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น เมล็ด แก้อาเจียนเป็นเลือด ร่างกายซุบผอม ข้อควรระวัง : ถ้ากินหัวหอมจำนวนมากมายเป็นประจำ อาจทำให้หลงลืมง่าย ผมหงอก มีกลิ่นตัว ฟันเสีย ตาฝ้ามัว และประสาทเสียได้</span>
</div>
ของดี-ศรีสะเกษhttp://www.blogger.com/profile/12737712840741247827noreply@blogger.com1